การตายนั้นน่ะมันเป็นการสละร่างเก่าไปหาร่างใหม่

ใครจะเปลี่ยนร่างแบบไหนน่ะสุดแล้วแต่ว่าเราในขณะชาตินี้

ขณะนี้เราทำอะไรไว้ เราไปเปลี่ยนร่างใหม่นี่จะเปลี่ยนดีหรือเปลี่ยนไม่ดีอยู่ที่เรา

ถ้าหากว่าเราทำบาปเยอะเวลาเปลี่ยนร่างไปอีกร่างหนึ่ง ร่างนั้นจะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ จะไปเป็นเปรตก็ได้ จะไปเป็นอสูรกายก็ได้ ไปเป็นสัตว์นรกก็ได้ อันนี้เป็นที่ไปของการทำบาป

ส่วนคนที่ทำบุญนั้นพอสละร่างนี้แล้วก็ไปเป็นเทพ จะเป็นเทพชั้นไหน เทพนี่ เทวดานี่เขาจะมี ๖ ชั้น แล้วก็มีพระพรหมอีก ๑๖ ชั้น
สำหรับผู้ที่ทำบาปนั่นมันก็เป็นนรก นรกนั่นมันก็มีอยู่ ๘ ชั้น

ทีนี้ถ้าหากว่าไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เป็นช้างม้าวัวควายหมูเป็ดไก่อะไรก็สามารถจะไปเกิดได้ทั้งนั้น ก็สุดแล้วแต่วิญญาณของเรานี่เราจะทำอะไรให้วิญญาณของเราไว้ อันนี้จะเป็นประการสำคัญ

ทีนี้ถ้าหากว่าเราเกิดมาแล้วนี่เราสามารถที่จะพัฒนาตัวของเราให้พ้นไปจากทุกข์ซะ อันนั้นมันก็หมด ก็จะได้สิ้นเรื่อง
สิ้นเรื่องของวิญญาณดวงหนึ่ง

ในวิญญาณทั้งหลายในโลกนี้มันก็มีหลายแสนล้าน ก็แออัด ก็เรียกว่าอยู่ในโลกนี่มันแออัดไปด้วยวิญญาณ

เพราะฉะนั้นเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ มันก็เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณที่มาพัฒนาให้ไปเกิดเป็นมนุษย์

เราก็คือวิญญาณดวงหนึ่งที่มีความเป็นอิสระ อะไร ๆ จะมาเป็นอิสระเท่าดวงวิญญาณเท่าจิตใจของเรานั้นไม่มี

ถึงใครจะข่มเหงเราเท่าไหร่ก็ข่มเหงได้แต่ร่างกาย จิตใจข่มเหงไม่ได้ ใครจะมาเป็นใหญ่กว่าใจของเราไม่ได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา”
มโนแปลว่าใจ ใจนี่ประเสริฐ ทำอะไรก็สำเร็จแล้วด้วยใจ
เพราะฉะนั้นเราจึงพากันมาทำใจ
เมื่อทำใจแล้วทุกอย่างมันก็ดีเอง

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๑๒๘
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๑๐.๒๘