ตะลึงศาลฎีกาพิพากษากลับศาลชั้นต้นสั่งพิทักษ์เด็ดขาดเอสเอ็มอีลูกหนี้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ร้องธปท.เข้าตรวจสอบ
ตะลึงศาลฎีกาพิพากษากลับศาลชั้นต้นสั่งพิทักษ์เด็ดขาดเอสเอ็มอีลูกหนี้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ร้องธปท.เข้าตรวจสอบ
ลูกหนี้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทำหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทยวอนเข้ามาช่วยเหลือ สืบเนื่องจากถูกธนาคารกรุงศรีอยุธยาฟ้องร้องชำระหนี้โดยระหว่างการบังคับคดีลูกหนี้ได้ขอชำระหนี้ตามราคาประเมินของบังคับคดี จำนวนสี่ล้านบาท แต่พนักงานธนาคารไม่ยินยอมจะให้ชำระอยู่ที่ หกล้านบาท
แต่เมื่อปรากฎต่อมาธนาคารกลับนำทรัพย์นั้นไปขายให้กับคนข้างบ้านเพียงสี่ล้านบาทเท่านั้น และได้ยื่นฟ้องลูกหนี้รายนี้ต่อศาลล้มละลายในเวลาต่อมา
โดยอ้างในคำฟ้องว่าสืบทรัพย์ไม่พบ ทั้งที่ไม่เคยแจ้งผลการชำระหนี้ให้ทราบ โดยลูกหนี้ยืนยันว่าได้จ่ายเงินให้ธนาคารนี้ไปมากกว่าเงินที่กู้มาแล้ว แต่ธนาคารไม่เคยแจ้งกลับมาให้ทราบว่าตนชำระหนี้ขาดเหลือเท่าไร เพราะตนคิดว่าตนชำระเกินหนี้ไปแล้วตั้งแต่ธนาคารแจ้งว่าจะขายทรัพย์ตนในราคาหกล้านบาท
เป็นการยืมมือศาลล้มละลายมากลั่นแกล้งตน เพราะหากสืบทรัพย์จริง ธนาคารกรุงศรีอยุธยาต้องรู้ว่าตนมีทรัพย์เนื่องจากทรัพย์ที่มีอยู่นั้นเป็นที่ดินที่ปรากฎในเขตพื้นที่ตั้งของบริษัท เป็นหลักฐานให้ตรวจสอบ สืบทรัพย์ได้
ทำไมธนาคารกรุงศรีอยุธยาไม่แจ้ง ไม่ทวงถาม กลับนำความไปฟ้องล้มละลาย เมื่อเจรจาก็ไม่ยินยอม จะเอาเงินเพิ่มอีกจำนวนมากๆหรือผู้บริหารธนาคารควรติดตามพฤติกรรมของพนักงานอย่างใกล้ชิด
ตนได้เข้าสู้คดี ศาลล้มละลายชั้นต้นยกฟ้อง ต่อมาธนาคารกรุงศรีอยุธยาฎีกา และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษากลับศาลชั้นต้น พิทักษ์ทรัพย์ตน
การกระทำของธนาคารกรุงศรีอยุธยา 1.ผิดหลักการมาตั้งแต่ต้น เมื่อลูกหนี้ขอชำระหนี้ในจำนวน สี่ล้าน กลับจะเอาหกล้าน แต่ไปขายให้คนข้างบ้านตนในราคาสี่ล้านบาท ตัวเลขนี้ปรากฎในการแจ้งโอนที่ดินณ.สำนักงานที่ดินเป็นหลักฐานในคดีด้วย
2. ตนจ่ายเงินเกินหนี้ไปแล้ว เมื่อธนาคารนำทรัพย์ตนไปขายได้เท่าไรขาดเหลือเท่าไรต้องแจ้งให้ลูกหนี้ทราบแต่ธนาคารไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่กลับยืมมือศาลล้มละลายมาสร้างความกลัวให้ลูกค้าโดยอ้างต่อศาลว่าสืบทรัพย์ไม่พบ ทั้งที่ตนมีที่ดินถึง10แปลง มีมูลค่ามากกว่าหนี้ที่ธนาคารแจ้งต่อศาล และศาลล้มละลายชั้นต้นได้เห็นข้อเท็จจริงนี้จึงยกฟ้อง
แต่สำหรับศาลฎีกามีคำพิพากษากลับศาลชั้นต้นให้ตนถูกพิทักษ์ทรัพย์นั้นตนเพิ่งทราบ เพราะตนไม่ทราบวันอ่านคำพิพากษา จึงไม่ได้ไปฟัง
ตนจึงขอให้ธปท.เข้าช่วยเหลือ เนื่องจากเห็นความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ในการดำเนินธุรกิจของธนาคารที่มีต่อลูกค้า และจะได้ยื่นขอความเป็นธรรมต่อหน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
โดยเฉพาะเรื่องการที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาอ้างในคำฟ้องว่าสืบทรัพย์ตนไม่พบ เป็นการเท็จเพื่อให้ศาลหลงเชื่อรับฟ้อง เพื่อให้ตนแสดงทรัพย์ที่มีมาสู้คดี
เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งยังใส่ร้ายให้ตนเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวอีก
อย่างไรก็ตามตนคำนึงว่า สถาบันการเงินเป็นผู้มีอิทธิพล มีอำนาจเงิน การร้องขอความเป็นธรรมของตนจึงไม่รู้จะมีใครให้ความเป็นธรรมกับตนหรือไม่
ใส่ความเห็น