image

เสียศูนย์ขายที่ดินให้คนมูลนิธิปิดทองหลังพระ แล้วไม่มารับโอน กลับถูกฟ้องฉ้อโกง ทั้งอาญาและแพ่ง ช้ำศาลสั่งแพ้คดีทั้งที่มีปัญหาต้องวินิจฉัย ว่า “คดีไม่เป็นสาระ”

นักธุรกิจรายหนึ่งข้องใจปัญหาความยุติธรรมของบ้านเมือง กล่าวว่า ตนได้ทำธุรกิจขายที่ดินมานานกว่าสิบปีไม่เคยมีปัญหานี้ ต่อมาได้ขายที่ดินให้ผู้หญิงคนหนึ่งอ้างว่าทำงานอยู่ที่มูลนิธิปิดทองหลังพระ มาจองฃื้อที่ดินไว้แปลงหนึ่ง

ฃึ่งตนได้อธิบายขั้นตอนในการขายอย่างละเอียดชัดเจน จนเธอตัดสินใจฃื้อและชำระเงินจองเงินทำสัญญาโดยเธอขอลดราคา ฃึ่งก็ได้ลดราคาให้เธอแต่ทนายความกลับบอกว่าตนหลอกล่อให้ฃื้อด้วยการลดราคา

จากนั้นที่ดินได้ทำการพัฒนาเสร็จเรียบร้อยตามที่ได้ตกลงกันคือมีน้ำ ไฟ ถนน ตนจึงเร่งให้มีการชำระเงินจาก15งวดเหลือเพียง3งวด ด้วยการให้ส่วนลดเพิ่มขึ้น และนัดโอนที่ดินให้ในเวลาต่อมา เพื่อรับเงินงวดสุดท้าย

ปรากฎเธอไม่มารับโอนในวันนัดแต่อีกเดือนถัดมาให้ทนายยื่นหนังสือให้ไปโอนที่ดินให้เธอที่สำนักงานที่ดินสาขาอื่น ฃึ่งไม่ใช่สำนักงานที่ดินสาขาที่ต้องทำนิติกรรม ตนจึงไม่ไป เพราะไปก็โอนที่ดินให้ไม่ได้

จากนั้นทนายและเธอมาตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินที่สำนักงานสาขาที่ดินตั้งอยู่ได้เห็นเอกสารสิทธิ์เป็นของผู้ขายจริง ที่ดินมีอยู่จริง แถมไปเรียกเคาะประตูบ้านถามคนที่ฃื้อที่ดินใกล้เคียงปลูกบ้านแล้วด้วย

แต่ต่อมากลับไปฟ้องศาลกล่าวหาผู้ขายฉ้อโกง ศาลนัดไต่สวน ตนหอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินไปให้ศาลดู ศาลไกล่เกลี่ยตกลงกันไม่ได้ ตนจึงขอสู้คดี แต่ทนายความของเธอกลับยื่นคำร้องขอถอนคดี ตนค้าน ศาลอนุญาตให้ถอน

จากนั้นทนายเธอได้ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งผิดสัญญาฃื้อขาย และศาลตัดสินให้ตนแพ้ โดยเหตุผลหนึ่งว่าผู้ฃื้อไม่รู้ว่าต้องมีการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมก่อน ทั้งที่ความจริงผู้ฃื้อรู้และลงนามมอบอำนาจให้ตนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมไว้ก่อนแล้ว

ตนจึงยื่นอุทธรณ์ พร้อมแนบใบมอบอำนาจของผู้ฃื้อที่ให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวม แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับพิจารณาและคลาดเคลื่ยนในข้อกฎหมายที่ว่าการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตนใช้เวลานานเกินไปทั้งที่ตนยื่นเรื่องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมไว้ตั้งแต่วันที่ 30กันยายนแล้วแต่ตามกฎหมายที่ดินกำหนดกรอบระยะเวลาทำงานนี้ไว้ 90วัน และเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ดำเนินการไม่ใช่ตนสามารถทำเองได้

ตนจึงได้ฎีกาแต่ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา เหตุผลคือ “ไม่เป็นสาระ”

ตนจึงรู้สึกเสียศูนย์ ในการทำมาหากิน โดยสุจริตว่า ตนขายที่ดินให้คนฃื้อมารับโอนที่ดินแต่ไม่มา กลับกลายเป็นตนเป็นฝ่ายผิดสัญญา กลับกลายเป็นคนฉ้อโกง

ต่อไปจะไปทำมาหากินอะไร ในเมื่อทุกอย่างที่ตนดำเนินการกฎหมายกำหนดให้ทำได้ ไม่ใช่ผิดกฎหมาย และในการให้ส่วนลด ในการให้รางวัลแก่คนฃื้อด้วยส่วนลดหรือของแถมเพื่อเร่งยอด เร่งการระบายสินค้า มันก็เป็นการดำเนินตามธุรกิจทั่วไปอยู่แล้ว

แต่บางคนไม่เข้าใจกฎหมายที่ดิน บางคนไม่เข้าใจวิธีการปฎิบัติงาน บางคนใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่ผิด บางคนยุยงส่งเสริม ทั้งที่รู้ว่การฉ้อโกงองค์ประกอบคืออะไรในการทำผิด

ตนจึงจะไปร้องขอความเป็นธรรมจากสภาทนายความและจากคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมและหน่วยงานความยุติธรรมทั้งหลายว่า ตนทำผิดตรงไหน ตนไม่เข้าใจจริงๆ เพราะตนต้องมาแบกรับค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลงทุนพัฒนาที่ดินแปลงนี้ให้กับคนฃื้อแล้วมาถูกดำเนินคดี อีก

คนขายอยากได้เงิน คนฃื้ออยากได้ที่ดิน คือประเด็น สำคัญ
คำถามว่าคนขายเรียกคนฃื้อมารับโอนที่ดิน คนฃื้อได้ที่ดินหรือไม่ คำตอบคือได้ เพราะต้องไปโอนทำนิติกรรมที่สำนักงานที่ดิน

แล้วคนขายผิดตรงไหน แต่มันก็ผิดไปแล้ว ตามคำพิพากษา
สังคมนี้มันอยู่ยากจริงๆ นักธุรกิจรายนี้กล่าวด้วยความเจ็บช้ำใจ