สับเละกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หาประโยชน์ส่วนตนบังคับให้บริษัทและนักบัญชีต้องกรอกงบการเงินและรายชื่อผู้ถือหุ้นเข้าระบบ E-filing เพื่อตนเองจะไม่ต้องนั่งสแกนข้อมูลเข้าระบบเอง โดยอ้างเหตุผลที่ไร้สาระว่า จะส่งผลให้ผู้ใช้งบการเงินภาครัฐ ภาคเอกชน และธุรกิจสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ วางแผนตัดสินใจทางธุรกิจได้ทันต่อเหตุการณ์ ขณะที่บริษัทและนักบัญชีต้องเสียเวลามานั่งกรอกตัวเลขงบการเงินเข้าไปในระบบโปรแกรมของกรมฯอีกครั้งหนึ่งแล้ว ผู้ทำบัญชียังต้องมีความรู้ในเรื่องอินเตอร์เน๊ตและโปรแกรมของกรมฯอีกด้วย

image
จากกรณีที่ นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ออกประกาศบังคับให้บริษัทต่างๆทั่วประเทศยื่นงบการเงินประจำปี58 ต้องกรอกข้อมูลงบการเงินเข้าไปในระบบ e-filing ของกรมให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 58 ด้วยเหตุผลว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นหน่วยงานให้บริการรับงบการเงินจากนิติบุคคลทั่วประเทศ ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543 ซึ่งกำหนดให้ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย และกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร นำส่งงบการเงินภายใน 5 เดือนนับแต่วันปิดบัญชี และบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด นำส่งงบการเงินภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่งบการเงินนั้นได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้น

ซึ่งภายหลังจากที่นิติบุคคลได้นำส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว กรมฯ จะนำงบการเงินดังกล่าวในรูปแบบของเอกสาร (Hard Copy) แปลงให้เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และจัดเก็บข้อมูลในรูปเอกสารภาพ (IMAGE) และป้อนข้อมูล (Re-key) เพื่อเก็บข้อมูลที่ต้องการก่อนนำไปประมวลผลต่อในฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อนำไปเผยแพร่ บริการข้อมูลงบการเงินให้แก่ประชาชนผู้สนใจโดยกระบวนการเหล่านี้ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการไม่ต่ำกว่า 5-6 เดือน ส่งผลให้ผู้ใช้งบการเงินภาครัฐ ภาคเอกชน และธุรกิจไม่สามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ วางแผนตัดสินใจทางธุรกิจได้ทันต่อเหตุการณ์

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงได้จัดทำโครงการให้บริการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Filing เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการนำส่งงบการเงินให้แก่ภาคธุรกิจ โดยจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2558 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้กรมฯ สามารถนำข้อมูลงบการเงินมาประมวลผล วิเคราะห์ และเผยแพร่ให้แก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในรูปแบบของเอกสารภาพและข้อมูลสถิติได้รวดเร็วขึ้นเพื่อให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน สถาบันการเงิน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนผู้สนใจสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมาของนิติบุคคล อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ ได้แก่
– การตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของธุรกิจเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ
– การวิเคราะห์เพื่อวางแผนและตัดสินใจทางธุรกิจ รวมทั้งแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ประเภทธุรกิจที่มีการขยายตัว ฐานะการเงิน ตลอดจนการประเมินสภาพธุรกิจ เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขัน สร้างโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจ และการต่อยอดทางธุรกิจ
– การสร้างโอกาสและลดต้นทุนในการเข้าถึงข้อมูล ทำให้ธุรกิจได้รับความสะดวก รวดเร็วซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ในการประกอบธุรกิจ
– การสนับสนุนข้อมูลแก่หน่วยงานภาครัฐเพื่อใช้ในการตรวจสอบและกำกับดูแลธุรกิจ รวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ในวางแผนและกำหนดนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับประเทศ
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงขอเชิญชวนผู้ทำบัญชีกว่า 84,000 รายทั่วประเทศ สมัครเข้าอบรมการนำส่ง งบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Filing โดยสามารถติดตามตารางการอบรมได้ทาง www.dbd.go.th ซึ่งการอบรมดังกล่าวสามารถนับชั่วโมง CPD ได้ครึ่งชั่วโมง และนับเป็นเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชีอีก 2 ชั่วโมงครึ่ง รวมเป็น 3 ชั่วโมง นอกจากนี้สำหรับผู้ทำบัญชีของธุรกิจที่นำส่งงบการเงินทาง e-Filing ยังสามารถนับชั่วโมง CPD ได้อีก 1 ชั่วโมงต่อการนำส่งงบการเงิน 1 งบ โดยผู้ทำบัญชี 1 คน สามารถนำส่งงบการเงินได้ไม่เกิน 100 ราย ตามที่กฎหมายกำหนด และต้องแจ้งรายชื่อธุรกิจที่รับทำบัญชีต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าภายในวันที่ 30 มกราคม 2558 นั้น

วีคลี่นิวส์ออนไลน์ ได้ตรวจสอบความเห็นของเจ้าของบริษัทและนักบัญชีและผู้ตรวจสอบบัญชี พบว่า ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะปกติคนทำบัญชีรู้โปรแกรมบัญชีกรอกข้อมูลเรียบร้อยสามารถส่งงบการเงินได้แล้ว แต่ประกาศบังคับของกรมฯต้องให้นักบัญชีมานั่งกรอกตัวเลขทางบัญชีลงในโปรแกรมของกรมฯอีกรอบหนึ่งซึ่งยังเป็นโปรแกรมที่ไม่สมบูรณ์เพราะไม่สามารถคำนวณผลสรุปได้

นอกจากนี้ นักบัญชียังต้องมีความรู้ในเรื่องของอินเตอร์เน๊ตและโปรแกรม e-filing , e- form
ซึ่งเป็นการเพิ่มงาน ให้นักบัญชีและต้องเพิ่มเงินให้กับบริษัทที่ต้องว่าจ้างพนักงานบัญชีที่มีความรู้เพิ่มอีก

ขณะที่ผลประโยชน์ในเรื่องนี้ตกอยู่กับกรมฯเพราะไม่ต้องใช้คนมานั่งสแกนงบการเงินของบริษัท แล้ว ยังนำข้อมูลงบการเงินที่บริษัทและนักบัญชีนั่งทำงานแทนให้นั้นไปขายข้อมูลของบริษัทให้กับหน่วยงานต่างๆหรือบุคคลที่ประสงค์มาขอค้นข้อมูลได้อีกในราคาเรื่องละ 50 บาท และหากจะ        พริ้นข้อมูลออกมาก็คิดค่าพริ้นถึงใบละ 3 บาท นับเป็นการหาเงินที่น่าเกลียดของหน่วยงานรัฐแห่งนี้มาโดยตลอดแล้ว

การมาออกประกาศบังคับให้บริษัท 84,000 แห่ง นั่งทำงานให้เพื่อแลกกับการที่บริษัทไม่ต้องวิ่งส่งงบการเงินเอง ด้วยเหตุผลดังกล่าวของกรมฯจึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระมากแล้ว ยังใช้ผลประโยชน์อื่นมาล่อให้นักบัญชีต้องเสียเวลาไปอบรมด้วยการนับให้ชั่วโมง CPD จึงถือเป็นเรื่องที่น่าละอายเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม นักบัญชีแปลกใจมากว่า ทำไมสภาวิชาชีพบัญชีจึงไม่แสดงความเห็น ซึ่งควรจะเปิดกว้างให้บริษัทเลือกที่จะส่งงบการเงินแบบกระดาษเหมือนเดิมหรือเลือกที่จะส่งเป็นแบบอีเลคโทรนิคส์นี้ก็ได้

ไม่ใช่ให้กรมฯมาออกบังคับให้บริษัทหรือนักบัญชีต้องกระทำตามเพื่อประโยชน์ของตนเองเช่นนี้

อนึ่งจากการตรวจสอบของวีคลี่นิวส์ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า นนทบุรี พบว่า ผู้บริหารของกรมฯน่าจะลงมาดูการทำงานของพนักงานราชการหน้าที่ประชาสัมพันธ์และยืนให้คำแนะนำปชช.ที่มาติดต่อราชการบ้างว่าใช้คำพูดที่เหมาะสมและเสียงที่สุภาพหรือก้าวร้าว หรือทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับปชช.มากน้อยเพียงใด

โดยเฉพาะได้ตอบคำถามต่อผู้มาใช้บริการด้วยความสุภาพหรือไม่อย่างไรด้วย