ทนายสิทธิแย้งผลประชุมศาล สั่งตัดสินคดี”ไม่สวมหน้ากาก” ต้องตีความก.ม อาญาอย่างเคร่งครัด ตามตัวอักษรโดยยึดหลักว่า “ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ”จะตีความอย่างกว้างโดยขยายความเพื่อลงโทษ หรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดไม่ได้

กรณีที่ นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา ได้เรียกประชุมทางไกลกับอธิบดีผู้พิพากษาภาคต่างๆ ที่มีอำนาจในคดีอาญาหลังเกิดปัญหา ศาลตัดสินคดีไม่สวมหน้ากากอนามัยขัดกัน โดยได้ข้อสรุปคือ ผวจ.อำนาจห้ามคนออกนอกบ้าน หากไม่ใส่หน้ากากอนามัย เเต่กำชับใช้ดุลพินิจคำนึงถึงสภาพ แห่งข้อหาการกระทำโดยคำนึงเศรษฐกิจสังคมของจำเลย ควบคู่มาตรการป้องกันโควิด-19 นั้น 

 นาย.  วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและเลขาธิการสมาพันธ์ นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) กล่าวว่า หากการกำหนดให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยเป็นความผิดอาญา แต่รัฐบาลและหน่วยงานผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องกลับไม่สามารถดำเนินการ ให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 55 โดยมีหน้ากากอนามัยเป็นอุปกรณ์ป้องกันตนเองได้ทุกคนหรือยัง

ทั้งนี้ตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม เชื่อว่าศาลและผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่อาจยืนยันหรือรับรองได้ว่า ประชาชนทุกคนมีหน้ากากอนามัย อยู่ในความครอบครองของตนทุกคน แล้วคนที่ไม่มีหรือตกหล่นไม่ได้รับการแจก เพราะรัฐไม่มีแนวทางบังคับให้ผวจ.ต้องจัดหาหน้ากากไปแจกทุกคน แล้วจะไปเอาความผิดกับคนที่ไม่สวมหน้ากากมันสมเหตุสมผลแล้วหรือไม่

นาย วิญญัติ ชาติมนตรี  กล่าวต่อว่า.  ผมยังมีความกังวลต่อคำแนะนำของศาลที่ให้ใช้ดุลพินิจตีความในทางที่กว้าง ให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น เนื่องจากมองว่าหลักการตีความกฎหมายอาญา เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองบุคคล และรักษาความสงบ เรียบร้อยของบ้านเมือง และมุ่งหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิด ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ของบุคคล 

ดังนั้นการตีความกฎหมายอาญา ต้องตีความโดยเคร่งครัด ตามตัวอักษรโดยยึดหลักว่า “ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ”จะตีความอย่างกว้างโดยขยายความเพื่อลงโทษ หรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดไม่ได้ ในกรณีที่มีความสงสัยต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้น 

จะเห็นได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2  วรรคแรกที่บัญญัติว่า “บุคคลจะต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอัน กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทาความผิด นั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย” ดังนั้น การตีความกฎหมายอาญานั้นจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด 

ส่วนที่จะพิจารณาว่า มีความผิดทางอาญาแล้วลงโทษประชาชนได้ ก็ต้องไม่มองข้ามหลักเจตนา ซึ่งเป็นไปได้ที่ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีแล้วไม่มีเจตนาที่จะฝ่าฝืนเช่นนี้ 

ตนเห็นด้วยกับที่ประชุมของศาลยุติธรรมที่ให้ใช้ดุลพินิจลงโทษ ตามข้อแนะนำว่าพึงต้องใช้ดุลพินิจเป็นรายคดี โดยคำนึงถึงสภาพแห่งข้อหาและการกระทำความผิดตลอดจนโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมของจำเลย ควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรน่า 2019 เพราะจะเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในการบริการสาธารณสุขของประเทศ