พระพุทธเจ้านั้นได้สอนให้เรามีขันติ คือความอดทน

อดทนต่อความลำบาก อดทนต่อความตรากตรำ อดทนต่อความเจ็บใจ
เพราะว่าการที่เราจะมาปฏิบัติบุญความดีนั้นมันมีมารมาก

มารทั้งหลายเยอะแยะนับไม่ถ้วน มันต่างคนต่างประดังเข้ามาที่จะต่อสู้กับเรา
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีขันติคือความอดทน

เมื่อเราจะทำความดีแล้วเราก็ไม่ควรที่จะยึดถือในสิ่งที่ไร้สาระ เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี จิตใจของเราก็ไม่หวั่นไหว
ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะตื เมื่อมีโลกธรรมมากระทบถูกต้องแล้ว เราก็ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมนั้น
เพราะว่าตามธรรมดาชีวิตของคนเรานั้น บางทีมันก็มีดี บางทีมันก็มีไม่ดี

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ได้อาศัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นแนะนำว่า งามอะไรมันงามดีนัก อะไรถึงเรียกว่างามแท้
อาทิกัลยาณัง งามในเบื้องต้นก็คือศีล
มัชเฌกัลยาณัง งามในท่ามกลางก็คือสมาธิ
ปะริโยสานะกัลยาณัง งามในที่สุดก็คือปัญญา

เราท่านทั้งหลาย การที่เราเกิดมาแล้วมีร่างกายสมบูรณ์บริบูรณ์ พร้อมทั้งพบพระพุทธศาสนานั้น นับเป็นลาภอันประเสริฐ

การทำบุญทำกุศลก็เหมือนกันกับว่าสร้างสมบัติให้แก่ตัวของเรานั่นเอง
การสร้างสมบัติให้แก่ตัวของเรานั้นทำไมเราจะต้องพากันไปเกียจคร้าน หรือทำไมเราจะต้องไปผลัดวันประกันพรุ่ง ทำไมหรือเราจะต้องไม่ชอบอะไรบางสิ่งบางอย่าง
แท้ที่จริงแล้วการประกอบบุญกุศลเป็นของตัวของตนโดยเฉพาะ

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่มแรก หน้าที่ ๑๒๒
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๓.๒๗