พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปุญญานิ ปะระโลกัสมิง ปะติฏฐา โหนติ ปาณินัง
บุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
ความดีเป็นที่พึ่ง ความชั่วไม่เป็นที่พึ่งแก่ใคร ๆ

ความชั่วมันเป็นเหมือนกับสนิมกัดกร่อนกับเหล็ก

เหล็กนั้นแม้ว่าจะแข็งสักเพียงใดก็ตาม แต่ก็แพ้สนิม
เหล็กทั้งแข็งทั้งเหนียวทั้งหนักแต่ในที่สุดก็แพ้สนิม สนิมกินไปกินมาก็กร่อนหมด

เหมือนกันกับใจของคนเรา เมื่อขาดหิริ ความละอาย โอตัปปะคือความเกรงกลัวต่อบาปแล้ว มันก็เป็นสนิมกัดกร่อน ที่จะกัดกร่อนใจของเรา
ใจของเราถือว่าเข้มแข็งจริง ๆ น่ะ แท้ที่จริงแล้วก็อ่อนต่อกิเลส คืออ่อนต่อสนิมนั่นเอง

คือว่าเหล็กมันแข็งก็จริงแต่ว่ามันแพ้สนิมน่ะ หลุดละไม่ต้องห่วง เผลอเมื่อไหร่มันก็กินเกลี้ยง สนิมกินเหล็กกินจนกระทั่งผุ เหล็กนี่จนกระทั่งไม่เหลือคำว่าเหล็ก

เหมือนกันกับมันกัดกินจิตใจของมนุษย์ทั้งหลายนี้ไปจนกระทั่งไม่เหลืออยู่กับคำว่าเป็นมนุษย์อย่างนี้
ทำได้ทุกอย่างมันจะเป็นความชั่วแค่ไหนก็ทำได้อย่างนี้ นั่นคือการที่สนิมกัดกินจิต

เพราะฉะนั้นสนิมอันนี้ไม่มีอะไรแก้ได้หรอกนอกจากเรามีพลังจิต

พลังจิตนี้จะแก้ พอแก้ได้แล้วชีวิตของเราก็จะกลายเป็นชีวิตที่มีคุณสมบัติมีค่า
มีค่าขึ้นมาว่าวันหนึ่งเราได้บุญ วันสองเราก็ได้บุญ อาทิตย์นี้เราก็ได้บุญ อาทิตย์หน้าเราก็ได้บุญ เดือนนี้เดือนไหน ปีหน้าปีไหนเราก็ได้บุญทั้งนั้น
ทีนี้เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เท่ากันกับว่ามียาที่จะลบล้างแก้สนิมไม่ให้สนิมมันกัดกินเหล็กได้

ด้วยเหตุดังกล่าวขอให้พวกเราทั้งหลายมีสติสัมปชัญญะ เพื่อที่จะรู้ตัวว่าเราคือมนุษย์
มนุษย์ก็คือผู้ที่มีใจสูง มีจิตใจสูงก็ต้องสูงด้วยศีลธรรม

ชีวิตของเราที่จะมีค่าไปแต่ละวัน ๆ ที่เรามีชีวิตอยู่นั้นคือแก้ไขจุดดำนั่นเอง

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ เล่มแรก หน้าที่ ๑๐๖
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน

๖๑.๐๓.๒๕