พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สุโข สังฆัสสะ สามัคคี”
การที่เราจะมีความสุขได้นั้นต้องมีความสามัคคีกัน
ถ้าเราไม่มีความสามัคคีกันแล้วความสุขก็เกิดขึ้นไม่ได้

เมื่อไม่มีพลังจิตที่เกิดขึ้นในตัวของตนก็ไม่สามารถที่จะควบคุมจิตใจของตนได้
เมื่อไม่สามารถควบคุมจิตใจของตนได้แล้วมันก็จะต้องทำไปตามอำเภอใจ ใครมีกำลังมาก ใครมีกำลังน้อย อะไรต่ออะไรมันก็เกิดขึ้น
เมื่อการปะทะกันเกิดขึ้นเพราะว่าพลังจิตไม่เพียงพอ ความแตกสามัคคีก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

แต่เมื่อเวลาที่สร้างพลังจิตของเราขึ้นมาได้แล้วนี่ก็สามารถที่จะควบคุมจิตใจได้
เมื่อควบคุมจิตใจได้แล้วความสามัคคีในครอบครัวก็เกิดขึ้น ความสามัคคีในสังคมก็เกิดขึ้น ความสามัคคีในประเทศชาติก็เกิดขึ้น ความสุขก็เกิดขึ้น

เมื่อควบคุมจิตใจของเราไม่ได้ ความสามัคคีก็ไม่เกิดขึ้น ในครอบครัวก็เกิดขึ้นไม่ได้ ในสังคมก็เกิดขึ้นไม่ได้ ในประเทศชาติก็เกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ความทุกข์ ความเดือดร้อนต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นตามมา

ด้วยเหตุดังกล่าวพวกเราท่านทั้งหลายต่างคนต่างมีความรับผิดชอบโลกใบนี้ด้วยกัน ก็ต้องพากันช่วยกันสร้างสรรค์ด้วยการชักชวนผู้คนต่าง ๆ ให้พากันทำสมาธิให้มากที่สุด
เมื่อมีคนมาทำสมาธิมากเพิ่มขึ้น ๆ แล้วทุกอย่างมันก็จะสงบลงไปได้เอง เหมือนกับน้ำดีกับน้ำเสีย ในขณะที่น้ำดีนั้นมีมากก็ขจัดน้ำเสียไป
ถ้าหากว่าน้ำเสียมันมีมากน้ำดีมันก็หายไป น้ำดีก็เสียศูนย์ไป

เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องพากันรวบรวมให้คนเรานี่สามารถที่จะมาสร้างสรรค์ในทางจิตใจให้มากขึ้น นั้นเป็นหนทางที่แก้ที่ดีที่สุด

เมื่อเป็นเช่นนั้นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจึงเป็นคำสั่งสอนที่ดี เป็นคำสั่งสอนที่วิเศษสุด เพราะเรามีหนทางแก้ เมื่อมีความทุกข์ก็แก้ความทุกข์ได้

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๑๓๐
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๑๐.๓๐