การทำสมาธินั้นไม่ใช่เพียงแต่ว่าทำความสุขให้แก่ในปัจจุบันชาตินี้เท่านั้น แต่ว่าเป็นหนทางสว่างไสวต่อไปข้างหน้าอีกมากมาย

เพราะว่าเรานี่มีกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ ที่มีอยู่ในตัวของเรานั้นเรียกว่าเป็นพวกอกุศลบุญ ที่ยังมีอยู่ตราบใดเราก็ยังต้องเกิดแก่เจ็บตายอยู่ตราบนั้น

ถ้าหากว่าเรามีการปฏิบัติวิปัสสนา มีการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุความสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลนั้นนั่นคือหนทางที่จะทำให้เรานั้นหลุดพ้นไปได้

มนุษย์สามารถที่จะทำได้ถ้าหากว่ามีความตั้งใจ ไม่วันใดวันหนึ่งก็สามารถบรรลุได้

เมื่อเราพากันเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้วเราก็ได้น้อมตัวของเราให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ตามอัตภาพที่เราจะสามารถสร้างได้ นั่นแหละเขาเรียกว่าเป็นการสร้างบุญ สร้างวาสนา สร้างบารมี

เมื่อเราบริจาคทานแล้วเราจะอธิษฐานว่า “นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ” ขอให้ข้าพเจ้าถึงซึ่งพระนิพพานเถิด
นี่คือจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้าย แต่จะไปถึงเมื่อไหร่นั้นอยู่ที่เราจะพยายามปฏิบัติตัวของเราได้มากน้อยเท่าไหร่

การปฏิบัติความดีจะเป็นบุญกุศลมากมายหรือน้อยเท่าไหร่ก็ตาม หรือการปฏิบัติทางด้านจิตใจสมาธิภาวนามากน้อยเท่าไหร่ก็ตาม ที่เราทำนั้นไม่ได้สูญสลายตัว จะต้องฝังสนิทติดอยู่ในใจของเรานั้นตลอดไป

เมื่อเราจะไปเกิดชาติใดฉันใด ไปเกิดภพใดภูมิใด สมาธิภาวนาหรือบุญกุศลที่เราสร้างไว้ก็ยังจะอยู่ในตัวของบุคคลผู้นั้น ไม่มีใครทำลายได้

เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า บุญกุศลนั้นตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ เป็นสิ่งที่จะต้องติดตนตามตัวเราเป็นบุญเป็นวาสนา ทำให้เกิดความสำเร็จให้แก่ตัวของเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง

เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย ในการที่ท่านมาทำสมาธิก็ดี ในการที่ท่านได้บริจาคทานก็ดี ในการที่ท่านทั้งหลายได้รักษาศีลก็ดี สิ่งเหล่านี้ที่ทำไปนั้นนิดนึงก็ตาม มากก็ตาม จะต้องเป็นนิสัย จะต้องเป็นปัจจัย จะต้องติดตนตามตัว จะต้องอยู่ในตัวของเรา ไม่มีใครมายื้อแย่งเอาไปได้ แล้วไม่มีการที่จะสลายตัว มีแต่การเพิ่มพูนไปตลอด

จากหนังสือ ธรรมะรุ่งอรุณ ๓ หน้าที่ ๒๙
พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

สวนพนาสนธิ์ ๓/ศูนย์สัมมนาป่าพนาสนธิ์-แบ่งปัน
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

๖๐.๐๙.๒๘