ธอส.จัดงานเลี้ยงนักข่าวติดโควิดเพื่อ?

           ธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นข่าวมาตลอดตั้งแต่ต้นปี เมื่อวันที่3เมษายน 64 ที่ผ่านมาไม่รู้เนื่องในโอกาสอะไรจึงจัดงานเลี้ยงนักข่าวเป็นการภายในขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดตราด งานนี้ทำเอานาย ฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผจก.ธนาคาร ถูกกล่าวขวัญอีกครั้งหลังก่อนหน้าปปช.เปิดเผยทรัพย์สินหลังสิ้นสุดตำแหน่งวาระแรกครบสี่ปีมีทรัพย์สินถึง 45 ล้านบาท 

           ข่าวว่าธอส.ทุ่มทุ่นเลี้ยงนักข่าวเป็นการเฉพาะ ด้วยการจ้าง “สแตมป์”มาร้องขับขานให้คนเพียง 66 คน ฟัง ถ้าไม่รวยจริงทำไม่ได้นะนี่ 

            คำถามว่า นาย ฉัตรชัย จัดงานเลี้ยงนักข่าวฃะไกลขนาดนั้นเพื่ออะไร

            จะเห็นว่าข่าวคราวของตัวนาย ฉัตรชัย ถูกจับจ้องมาเป็นระยะเวลานานหลังสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง และลงสมัครเป็นกรรมการผู้จัดการอีกวาระหนึ่ง โดยใช้เวลาในการคัดสรรที่มีนาย ยุทธนา หยิมการุณ  เป็นประธานคณะกรรมการคัดสรรฯเพียง 20วันเท่านั้น ทั้งที่มีผู้สมัครที่มีความรู้ความสามารถเข้าแข่งขันถึง 6 คน โดยมีนาย อุตตม รมว.คลัง ลงนามแต่งตั้งทิ้งทวนก่อนลาออกจากตำแหน่งไม่กี่วัน

               ปัจจุบัน นาย ยุทธนา ได้รับการแต่งตั้งจาก ครม.ให้มาดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการบริหารธนาคาร ประหนึ่งลูกกระเดือกกับคอหอย

นาย ฉัตรชัย ศิริไล

              

 ขณะการคัดสรรอยู่นั้น สหภาพแรงงานธนาคารอาคารสงเคราะห์และลูกหนี้ธนาคารได้เห็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ไม่เหมาะสม จึงพากันยื่นหนังสือถึงธนาคารแห่งปทไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยนั้น ให้ชลอการแต่งตั้งและเรียกร้องให้ตรวจสอบความเหมาะสมเสียก่อน

             แต่สองหน่วยงานนั้นกลับรีบเร่งลงนามโดยไม่ฟังเสียงร้อง ทำให้นาย ฉัตรชัยได้รับการแต่งตั้งกลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2563 

              สิ่งที่น่าสังเกตุของการกลับเข้ามา คือ การมีอำนาจในการ”หาเงิน”จากการที่มีการแก้ไขพรบ.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ให้ธอส.สามารถขายพันธบัตรและสลากออมทรัพย์ได้ ทำให้ธอส.กลายเป็นขุมทรัพย์เงิน ขุมทรัพย์ทองสูบเท่าไรไม่มีวันหมด เฉกเช่นเดียวกับธนาคารออมสิน

                ที่สำคัญอีกอย่างคือการเปิดโอกาสให้ธอส.สามารถ”ร่วมทุน”กับเอกชน ได้เช่นเดียวกับออมสินที่ร่วมทุนกับบริษัทเอกชนปล่อยสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 

                การหาเงินง่ายๆเพียงกระดิกนิ้วลงนามอนุมัติทำให้เกิดช่องนโยบายในการ”ใช้เงิน” กันอย่างมโหฬารเพียงปลายนิ้วอีกเช่นกัน

                แน่นอนว่าคนในองค์กรนี้จะต้องช่วยกันตรวจสอบ หากรักที่จะทำให้องค์กรอยู่ยาวไม่เจ๊งเหมือนการบินไทย เพราะการ”ใช้เงิน”มันง่ายดังปลอกกล้วย คิดสร้าง”นโยบาย”ใหม่ๆขึ้นมา มันก็ได้ใช้เงินส่วนจะใช้มากใช้น้อยก็ต้อง”กล้า”ๆกันหน่อย

                  จะเห็นว่าธอส.มีการ “ลงทุนก่อสร้างปรับปรุง”นับแต่ “หาเงิน”ได้มา หลายประเภท หลายชนิด 

                   แม้กระทั่งการจัดงานเลี้ยงนักข่าวครั้งนี้ ก็ใช้งบประมาณทุ่มไม่อั้น เพียง66 คนเท่านั้นถึงกับจ้างนักร้องชื่อดังไปจัดคอนเสริต์ให้ฟังกันถึงจว.ตราด

                   นี่ถ้าไม่ติดโควิดคงใช้งบไปต่างปท.ละมั้ง

                    จึงถือว่าไม่รวยจัดไม่ได้นะนี่ แต่เป็นความรวยบนเงินของปชช.ที่ฃื้อสลากออมทรัพย์ และเงินที่ได้มาจากดอกเบี้ยเลือดเนื้อฃิบๆของลูกหนี้

ขณะที่การบริหารงานที่ธอส.ทำกับลูกหนี้รายหนึ่งด้วยการลวงบอกให้ไปหาคนมาฃื้อทรัพย์ของลูกหนี้กลายกลับสร้างเอกสารปัดความผิดให้ลูกหนี้ว่าเป็นการมา”ไถ่ถอนหนี้” สร้างสารพัดเหตุแก้ตัวใช้คำพูดได้อย่าง “หน้าไม่อาย”เพื่อปกปิดความผิดของพวกตนเอง 

                       นาย ฉัตรชัย ศิริไล ในฐานะกรรมการ. ผจก.ธนาคาร ก็ไม่สนใจจะแก้ไขปัญหาที่เกิด เพราะคิดว่ามีเงิน มีอำนาจ ลูกหนี้ที่ไหนจะมาทำอะไรได้ ทำให้เรื่องนี้ “คนฃื้อบ้านจากธอส.แล้วไม่ได้โฉนด”ถูกเปิดโปง ถูกร้องทุกข์ไปยังปปช. กรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

                         ฃึ่งแน่นอนว่าหน่วยงานเหล่านี้จะเห็นทุกข์ของผู้ฃื้อดีกว่าประโยชน์ของนายธนาคาร ได้อย่างไร 

                          ทำให้ผู้ฃื้อทรัพย์ต้องขยับเพดานเปิดโปงความชั่วร้ายของธนาคารและผู้บริหารธนาคารนี้ต่อไป เพื่อให้สังคมต้องระมัดระวังเล่ห์เหลี่ยมของธนาคาร ฃึ่งไม่อาจจะต่อกรได้ง่ายๆ ถ้าผู้บริหารปราศจากฃึ่งจริยธรรม และคุณธรรม 

                           ดังนั้นการจัดเลี้ยงนักข่าวแบบ“exclusive”ครั้งนี้ย่อมมิใช่งานเลี้ยงธรรมดาแน่นอน