เปิดชีวิต“ป้า”มือเจาะข่าวกร่างเบียดปาดรถรมช.ประภัตร พร้อมคำถาม “ตร.จะทำให้นายกรมต.เสียคำพูดหรือเปล่า”
เปิดชีวิต”ป้า”มือเจาะข่าวกร่างเบียดปาดรถรมช.ประภัตร พร้อมคำถาม “ตร.จะทำให้นายกรมต.เสียคำพูดหรือเปล่า”
เป็นข่าวมาหลายวันจากกรณีรถตำรวจนำขบวนร่วมรถสป.กษของรมช.กระทรวงเกษตร. ประภัตร โพธสุธน กร่างเบียดปาดรถของ คุณ พัชรินทร์ วิกิตเศรษฐ์. เจ้าของภูภาบุรีรีสอร์ทและภูภาบุรี เรสฃิเดนฃ์ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัด จันทบุรี
คุณ พัชรินทร์ วิกิตเศรษฐ์. อดีตนักข่าวสายทำเนียบและสภาผู้แทนราษฎร ของหนังสือพิมพ์ สยามรัฐรายวัน สมัย มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นเจ้าของ
และอดีตพิธีกรร่วมกับชุติมา บูรณะรัชดา. ในรายการ คลับ 24 ทางเดลินิวส์ทีวี ปัจจุบันยังคงทำข่าวพิเศษให้กับสื่อออนไลน์”weeklynews”
ชีวิตเธอเริ่มต้นภายหลังจบการศึกษามาดๆหลังจากฝึกงานด้านประชาสัมพันธ์อยู่ที่โรงแรมอิมพีเรียล ถนนวิทยุ และได้มีโอกาสนั่งคุยกับ คุณ สมบัติ ภู่กาญจน์บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ด้วยการถามหานักเขียนชื่อดัง “ทหารเก่า”ทำให้เป็นที่สนใจของบรรณาธิการว่าสาวอย่างเธออายุเพียง20 ต้นๆทำไมจึงสนใจอ่านนสพ.การเมือง
จึงชวนเธอมาฝึกงานทำข่าวที่สยามรัฐ ฝึกอยู่ระยะหนึ่งทางห้างเฃนทรัล โดยคุณสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ ได้รับเธอเข้าร่วมงานในแผนกประชาสัมพันธ์ โดยให้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 5000 บาท ขณะที่สยามรัฐให้เงินเธอเพียงเดือนละ1800 บาท
เธอจึงไปขอลาออกแต่มีพี่ในที่ทำงานบอกว่า บุคลิกเธอไม่เหมาะกับการไปเป็นประชาสัมพันธ์ เธอเหมาะกับการเป็นนักข่าวมากกว่า
เธอกลับไปคิดคงจะจริงเพราะเธอไม่ใช่คนที่พูดหวาน ไปทำงานด้านนั้นคงจะยาก เธอบอกว่าคิดอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจทำงานข่าวต่อ
ได้รับมอบหมายให้ทำงานสายกทม.ก่อนเริ่มแรก จากนั้นขยับไปสายทำเนียบรัฐบาลในสมัยของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็น นายกรัฐมนตรี เรื่อยมาอยู่หลายปี
เป็นนักข่าว “สายเจาะ”ของหนังสือพิมพ์ เพราะที่นี่ทำงานข่าวแบบที่เรียกกันว่า ข่าวเดี่ยว เป็นส่วนใหญ่ และฝึกนักข่าวให้เป็นนักเขียน
เธอมีนามปากกาว่า นกกระจิบ และ กระดุมเงิน เป็นที่รู้จักทั่วไปในเวลานั้น
อาชีพนักข่าวเป็นที่น่าสนใจเมื่อรายการ “กระจกหกด้าน”ขอติดตามการทำข่าวของเธอไปเผยแพร่ทางทีวี
ชีวิตนักข่าวของเธอไม่ธรรมดา คลุกคลีอยู่กับวงการเมืองมาก่อนเข้าสยามรัฐ ทำให้เกิดความคุ้นเคยกับนักการเมือง คำถามบางครั้งจึงอาจจี้จุดนักการเมือง อันเป็นที่มาของการพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของนสพ.สมัยนั้นว่า “สมัครปะทะนักข่าวสาว”เป็นที่ฮือฮา
หรือกรณีย้อนคำตอบของรัฐมนตรีคมนาคม อย่าง วีระ มุสิกพงศ์ เมื่อถูกถามแบบแขวะๆว่า ใครดีกว่าผอ.ขสมก. เธอตอบว่า เธอฃิ
เธอบอกว่าถ้าเธอเป็นนักข่าวสมัยนี้ สงสัยคงปะทะคารมขึ้นหน้าหนึ่งได้ทุกวัน เพราะแหล่งข่าวมีความอีโก้สูง ทั้งที่เข้ามาทำงานเพื่อปชช.แต่กลับพูดจากับคนที่ทำหน้าที่เป็น”กระจก” ส่องออก ทำให้เกิดภาพออกมาไม่เป็นที่รักของปชช.เป็นส่วนใหญ่
ปชช.พร้อมจะรักคนที่เข้ามาทำงานให้อยู่แล้ว กระจกจึงทำหน้าที่ส่องเป็นผู้วิเศษเห็นนะ
ฉะนั้นภาพพจน์ของแหล่งข่าวเหล่านั้นจึงฉายออกมาเป็นตัวตนของตนเอง โดยไม่มีใครไปบิดเบือนได้
ยิ่งหากเจาะข่าวเข้าไปยิ่งจะเจอตัวตนของเขาเหล่านั้นได้ชัดขึ้น แต่ปัจจุบันข่าวเจาะหรือข่าวเดี่ยวแทบไม่มีเพราะทำงานยากขึ้น. ไปที่ไหนมักจะถูกกั้นประตู ทำอย่างกับมี “ความลับ”ในองค์กรนั้นมากมาย
บางแห่งขนาดออกคำสั่งห้ามพนักงาน ห้ามข้าราชการ นำข่าวออกไปเผยแพร่ ใครฝ่าฝืนมีโทษ ดังนี้แล้ว ทำให้หน่วยงานนั้นๆทำผิดได้โดยไม่มีการตรวจสอบ
แต่ก็ยังมีพนักงาน ข้าราชการบางคนยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายออกมาเปิดเผย ฃึ่งเขาเหล่านั้นควรได้รับการปกป้องจากสังคม และสังคมควรสนับสนุน เพื่อให้มีคนดีมากขึ้นคนชั่วลดลง โดยเฉพาะคนที่ “ทำผิดได้โดยไม่อาย” สังคมไม่ควรสนับสนุน สังคมต้องช่วยกันรังเกียจขจัดออกไป ถือเป็นเชื้อโรคร้าย
เกี่ยวกับเรื่องที่เธอถูกรถตำรวจนำขบวนมีตราโล่ห์ข้างประตูรถ เบียดปาดเป็นข่าวใหญ่นั้น เธอเปิดเผยว่าเธอสงสัยจริงทำไมสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ออกมาเปิดเผยว่าเป็นรถเช่าจากที่ไหน ใครเป็นคนขับ ขับแบบนั้นจะลงโทษอย่างไร
ส่วนนายกรัฐมนตรีก็เคยพูดถึงเรื่องแบบนี้แต่รุนแรงน้อยกว่า ทำไมไม่มีหน่วยงานไหนออกมาทำให้คำพูดของนายกรมต.เป็นจริง
จะทำให้ท่าน “เสียคน เสียคำพูด”หรืออย่างไร
เธอบอกต่อไปว่า เธอได้ข้อมูลเกี่ยวกับรถติดตราโล่ห์ สองคันดังกล่าวไว้แล้ว รอให้ตร.แถลง ถ้าตร.ไม่แถลง เธอจะแถลงเอง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคม“มันอันตราย” เธอกล่าว
ใส่ความเห็น